เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ธ.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ทุกคนหาที่พึ่ง เรามาอยู่นี่ ที่เรามาทำบุญกันนี่ เราก็หาที่พึ่ง ทุกคนพยายามหาที่พึ่งนะ แล้วที่พึ่งจริง ๆ ก็คือใจของเรา แต่วิธีการข้างนอก เห็นไหม นี่วิธี วิธีการ วิถีกับผลลัพธ์มันต่างกัน แต่เราอยากได้ผลลัพธ์กัน แต่วิธีการจะถูกหรือไม่ถูกนี่ เราพยายามแสวงหาตรงนี้ ถ้าวิธีการถูกต้อง ผลลัพธ์มันจะให้ถูกต้อง

ถ้าวิธีการไม่ถูกต้อง เราเข้าใจว่าถูกต้อง เห็นไหม เราเข้าใจไง เราเข้าใจของเราว่าเราถูกต้อง แล้ววิธีการมันเป็นสภาวะแบบใดล่ะ? มันก็ให้ผลไง ให้ผลเหมือนกันเพราะอะไร? เพราะใจนี่เป็นนามธรรม ความรู้สึกของเรา เห็นไหม เวลาความรู้สึกของเรา เวลามีความสุขขึ้นมานี่ เรามีความพอใจ แล้วถ้ามีสิ่งที่กระทบใจที่มันมีความรู้สึกที่ดี ๆ ขึ้นมานี่ เราจะคิดขนาดไหน

ความรู้สึกของใจมันเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วมันก็ว่ามันปล่อยวาง เรายกตัวอย่างให้เขาฟัง เห็นไหม ว่ามันเป็นตทังคปหาน สิ่งที่จะปล่อยวางอย่างใดมันก็ปล่อยวางอย่างนี้ มันปล่อยวางตามธรรมชาติของมัน มันถึงว่าเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาไง สภาวธรรมนี้เป็นอนัตตาทั้งหมด ถ้าเรียนปริยัตินะ แม้แต่นิพพานก็เป็นอนัตตา เพราะมันอยู่ใน สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา

สิ่งที่เป็นอนัตตานี่ สิ่งที่ทุกอย่างต้องเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา แต่มันเว้นไว้ เห็นไหม ในเทศน์ธัมมจักฯ อกุปปธรรมนี่ตั้งแต่โสดาบัน สกิทา อนาคา อรหันต์นี่ มันไม่อยู่ในอนัตตา มันออกนอกพ้นออกไปจากอนัตตา เพราะมันเป็นอกุปปธรรม มันไม่เสื่อมไง สภาวะที่แปรสภาพมันเสื่อมทั้งหมด วิถีที่ก้าวเดินนี่ สิ่งนี้เป็นความเจริญงอกงามนี่ มันเสื่อมแล้วมันเจริญได้ เพราะมันเป็นวิถีทาง

สิ่งที่เป็นวิถีทางเราถึงต้องพยายามทำของเราให้เข้ามาถูกต้องตามวิถีทางไง ความดำริชอบ ดำริเข้ามาจากภายใน ดำริเข้ามาภายใน ดำริเข้ามาทั้งหมด ทวนกระแส เห็นไหม เวลาโลกนี่ไปตามกระแส เราอยู่กระแสโลก เราไปตามกระแสโลก เราก็ต้องการความสุข เราต้องการสิ่งที่สมความปรารถนา แล้วเราพยายามแสวงหาสิ่งนั้นกัน สิ่งนั้นน่ะมันเป็นสิ่งที่แสวงหานั้นถูกต้อง

แล้วถ้าหัวใจเรานะ หัวใจเรามีคุณธรรมขึ้นมานี่ สิ่งที่แสวงหานั้นจะเป็นประโยชน์กับเราด้วย กับสัตว์โลก กับทุกคน จะเป็นประโยชน์หมด แต่ถ้าเราแสวงหานะ ถ้าจิตของเรามันสิ่งที่ว่า มันเห็นแก่ตัว สิ่งต่าง ๆ มันก็จะเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วเราก็ไม่รู้ว่ามันเห็นแก่ตัวหรือไม่เห็นแก่ตัว เพราะอะไร? เพราะวุฒิภาวะของใจมันต่างกัน

บางคนนี่สละได้มหาศาล บางคนสละได้แล้วแต่เขา นี่พอใครสละได้ขนาดไหนก็ว่าอันนั้นเป็นบุญกุศลของเขาไง เป็นความเห็นของเขา เห็นไหม ถึงว่ามันเป็นความเห็น มันเป็นอำนาจวาสนาบารมี ทำไมเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาพุทธภูมิ นี่สละทั้งชีวิตเลยนะ สละหมด เวลาไปสละหมด เห็นไหม รื้อสัตว์ขนสัตว์

แล้วเวลาไปนี่ ที่ว่าเป็นพญาวานรไง หนีพรานมานะ ถึงที่สุดแล้วมันเป็นไปไม่ได้ เอาตัวเองนอนลงแล้วเกาะเกี่ยวกับ ๒ ฝั่งของภูเขา ให้ลูกน้องเหยียบตัวเองข้ามไปเป็นสะพาน สละทุกอย่างนะ เวลาโดนยิง ตัวเองก็เอาตัวเองนี่เข้าบังเขาตลอดเลย เห็นไหม นี่ความสละได้ขนาดนั้น ถึงว่ามีบารมีเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง พวกเราสละไม่ถึงอย่างนั้นหรอก

นี้เวลาเราทำทานขึ้นมานี่ เราสละของเรา สละจากภายในไง สละจากความเห็น ความยึดมั่นถือมั่นนี่มันสละไม่ได้ เวลามันกระทบขึ้นมาที่ใจนี่ มันกระทบมาก วิถีขึ้นมานี่ มันต้องให้จับตรงนี้ วิถีของมันมันจะแปรสภาพของมันไป สิ่งที่ว่ามันเกิดดับ เห็นไหม กุศลอกุศลเกิดจากใจ เกิดความคิดขึ้นมา ความยึดมั่นถือมั่นอันนี้มันก็เกิดดับ แต่ว่ามันเกิดดับนี่ มันเกิดดับธรรมชาติของมัน

แต่วิถีคือการทำความสงบของใจเข้ามา แล้วให้เห็นสภาวะการเกิดดับอันนี้ไง ถ้าย้อนกลับเข้ามาเห็นสภาวะความเกิดดับอันนี้ นี่มันจะเป็น เริ่มจากความปล่อยวางเข้ามา ๆ นี่วิถี วิธีการ วิธีการนี่มันเป็นการก้าวเดินไป สิ่งนี้ไม่ใช่ผล ถ้าสิ่งนี้เป็นผลอันนี้ ถ้าเราติดตรงนี้เป็นผล เราจะไปถึงเป้าหมายของเราไม่ได้ นี่เป้าหมายกับวิถีถึงคนละอันกัน เป้าหมายคือการปล่อยวาง แต่เราไม่มีสิ่งใดกันเลย วิถีมันก็ยังไม่เกิดขึ้น

แล้วเวลามันปล่อยวางขึ้นมานี่ ตทังคปหานนี่ มันปล่อยวางเพราะมันเป็นนามธรรม ธรรมชาติของมันเป็นสภาวะแบบนั้น มันลึกลับอย่างนั้น มันถึงหลอกเราได้ไง มันหลอกสัตว์โลกทั้งหมด สัตว์โลกทั้งหมดจะต้องเป็นใต้กฎของพญามารไง นี่มารฝ่ายเทพ เห็นไหม เทพที่ว่าเป็นฝ่ายมาร กับเทพที่เป็นฝ่ายธรรม เห็นไหม นี่เทพ

เวลาเกิดขึ้นมานี่ เราเวียนตายเวียนเกิด เราก็เวียนตายเวียนเกิดตามสภาวะแบบนั้น นี่เราตกอยู่ในอำนาจของเขา อำนาจอย่างนั้นไง อำนาจพญามารไง เราจะทำคุณงามความดีขนาดไหน มันก็เป็นอำนาจของพญามาร สิ่งที่มารคุมอยู่ เราก็ต้องเวียนไป ถ้าเราเวียนตายเวียนเกิดนี่ ศาสนาจะเกิดไม่เกิดคนทำดีต้องได้ดี คนทำชั่วต้องได้ชั่วตามธรรมชาติของอันนั้น

แต่เวลาศาสนาเราเกิดขึ้นมานี่ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เกิดปัญญาอันนี้ไง ชำระเข้าไปในหัวใจของเราอันนี้ไง นี่เห็นสภาวะความเกิดดับ มันเกิดดับจากอะไร? ความเกิดดับของมันมันเกิดดับจากขันธ์ เห็นไหม ขันธ์กับจิตที่มันเกิดดับ สิ่งนั้นมันเกิดดับเพราะมันมีอะไร? เพราะมันมีกิเลสไง ถ้ามันมีกิเลส มีความยึดมั่นถือมั่นของมัน ความเกิดดับอันนั้นมันยึด

แต่ถ้าเวลากิเลสมันขาดออกไปนี่ ความเกิดดับมันก็มีอยู่ธรรมชาติของมัน ถึงว่าสอุปาทิเสสนิพพาน สิ่งที่เป็นเศษส่วนของใจที่มันอยู่กับใจนี่ มันก็เกิดดับเหมือนกัน พระอรหันต์เวลาสิ้นกิเลสไปแล้วนี่ ดวงใจความเป็นอยู่มันก็เป็นสภาวะแบบนั้น แต่มันไม่มีกิเลสเข้าไปยึดมั่นถือมั่น มันถึงเป็นความบริสุทธิ์ไง มันถึงเป็นความว่าไม่มีเจตนาอันนั้นแอบแฝง มันถึงออกมาโดยธรรมชาติของมัน มันถึงว่าไม่มีมารคุมไง

แต่ถ้าเราเป็นขันธมาร เห็นไหม ขันธ์เราเป็นมารทั้งหมดเลย พอเป็นมารทั้งหมด ความเกิดดับนั้นก็ยึด นี่มันต้องให้อันนี้สงบเข้ามา วิถีมันจะเกิดขึ้นมาตามสภาวะแบบใด มันแล้วแต่วิถี แต่ถ้ามันยึดของมันนี่ มันว่ามันถูกต้อง มันว่ามันเป็นไป จนไม่ได้ภาวนามันก็ว่ามันเป็นไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกสอนให้ปล่อยวาง สอนให้เราเข้าถึงความปล่อยวาง ให้ใจมันปล่อยวางแล้วมีความสุข เราก็นึกภาพได้ เราก็ปล่อยวางได้ แล้วเราก็เข้าใจว่าเราเป็นสภาวะแบบนั้น

สิ่งที่เข้าใจว่าเป็นสภาวะแบบนั้น มันเป็นนามธรรมนะ นี่มันละเอียดมันลึกซึ้งขนาดที่ว่า นามธรรมมันสร้างภาพอย่างนั้นให้เราติด ติดไปตลอดนะ จนกว่าตายไป ถ้าตายไปแล้วนี่ ไปเกิดน่ะ ทำไมเราเกิดอย่างนี้ เกิดขึ้นมานี่ สภาวะได้ภพใหม่แล้ว นี่ภพเกิดขึ้นมาจากจิตปฏิสนธินี้มันเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงภพชาติ เปลี่ยนแปลงตามกุศลและอกุศล แต่หัวใจดวงนั้นดวงเก่า ดวงเก่าเพราะอะไร? เพราะกระแสของบุญกุศลมันแนบอันนี้ไปไง

เวลาเราสร้างบุญกุศล เห็นไหม บุญกุศลที่ว่าเป็นทิพย์ ๆ นี่ เวลาเป็นทิพย์นี่ ทิพย์ขนาดไหนก็แล้วแต่ ตกอยู่ในใต้กฎของอนิจจัง สิ่งที่เป็นกฎของอนิจจัง สิ่งนี้เป็นสภาวะชั่วคราวทั้งหมด แล้วเราเคยเกิดเคยตายตามสภาวะแบบนี้มาแล้วทั้งนั้น พอเราเคยเกิดเคยตายมาสภาวะแบบนี้ แล้วบังเอิญเราเกิดมานี่ บังเอิญนะ บังเอิญเราเกิดมาพบพุทธศาสนาไง แล้วบังเอิญเกิดมาช่วงกึ่งพุทธศาสนาเจริญขึ้นมาไง เจริญขึ้นมามีครูบาอาจารย์มาเริ่มการประพฤติปฏิบัติ ถึงได้ชี้นำเรื่องอย่างนี้

พอชี้นำเรื่องอย่างนี้นี่ มันก็เป็นว่าสังคมตื่นตัว พอสังคมตื่นตัว เราก็ทำสภาวะแบบนั้นไป เราทำตามสภาวะแบบนั้นไป แบบสังคมตื่นตัว เห็นไหม แต่วิถีของเราถูกต้องหรือเปล่าล่ะ? ถ้าวิถีของเราถูกต้อง มันถึงจะเป็นผลงานของเรา ผลงานจะเกิด เกิดตามแต่อำนาจวาสนานะ ถ้าอินทรีย์เราแก่กล้า อินทรีย์สังวรระวังนี่ มันแก่กล้าขึ้นมา ใจนี่มันรับสภาวะแบบนี้ได้

เวลาบุญกุศลมันมากนี่ เรารับสภาวะบุญแบบนั้นไม่ได้นี่ มันจะมีปัญหา ๆ นี่ว่ากันไปตามกระแสโลกนะ แต่เวลาจิตมันเป็นไป เห็นไหม เวลาบาปอกุศลมันเกิดขึ้นมานี่ มันไม่มองสิ่งนั้นเลย เวลามันทุกข์มันยากนี่ มันเรียกร้องนะ เรียกร้องความช่วยเหลือ เรียกร้องมาก ทุกข์มาก บางคนทุกข์น่ะน่าเห็นใจมาก ทุกข์จนสามารถทำลายตัวเองได้นะ เวลามันทุกข์ขึ้นมานี่ ทุกข์จนเสียจริตนิสัยมันก็ทุกข์ได้ แต่มันไม่สามารถปล่อยวางอันนี้ได้ มันยึดของมัน

ถ้ามันยึดของมัน นี่ตามสภาวะแบบนั้น จิตมันเกิดดับอย่างนั้น เกิดดับพร้อมกับพญามารที่ควบคุมอยู่อย่างนั้น ถ้ามันย้อนกลับ สิ่งที่ย้อนกลับ เห็นไหม มีสติคิดเลยว่า สิ่งนี้มันเป็นสภาวะแบบใด เวลาเกิดดับ เห็นไหม เวลามันทุกข์ขึ้นมานี่ พอมันคลายตัวไปมันก็ไม่มี แล้วยึดทำไม นี่ทิฏฐิความเห็นผิด

ถึงเวลาลูกหลานเรา เวลาเราสอนน่ะ ทำไมมันไม่ฟังล่ะ? มันไม่ฟังเราหรอก ทิฏฐิของมัน ทิฏฐิความเห็นอันนั้นยังไม่ถึงเวลาเขาจะไม่ฟังเราเลย แล้วเรามาย้อนดูจิตเราสิ ถ้าจิตเราเป็นสภาวะแบบนี้นะ ความปลดเปลื้อง ความทิฏฐิ ความเห็นผิดของเรานี่ มันแสนยากเลย เส้นผมบังภูเขา ของ เห็นไหม เหมือนกับเราเอาเพชรไว้บนหน้าผาก แล้วเราก็ไปหาเพชรทั่วไปหมดเลย หาไม่เจอหรอก เพราะมันอยู่บนหน้าผากเรา

นี้ก็เหมือนกัน นี่มันอยู่กับเราทิฏฐิความเห็นนี่นิดเดียว แต่ถ้ามันยอมรับนะ มันย้อนกลับขึ้นมา ทวนกระแสเข้ามา เห็นสภาวะแบบนั้น กิเลสมันอยู่ที่ไหน เขาว่าเห็นกิเลส จะชำระกิเลส เราถามว่า เห็นกิเลสตรงไหน กิเลสมันอาศัยธาตุขันธ์อยู่ต่างหาก ฉะนั้นอาศัยธาตุขันธ์อยู่ ต้องทำลายที่ธาตุขันธ์นั้น ทำลายที่ตัวจิตนั้น

ถ้าทำลายตัวนี้ เห็นไหม พอทำลายนี่มันแยกออก ๆ กิเลสมันไม่มีที่อยู่ไง กิเลสมันถึงหลุดออกไปไง เราถึงต้องใช้วิถีของเรา ต้องย้อนกลับมาตรงนี้ พุทธศาสนาสำคัญตรงนี้นะ สำคัญตรงที่ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้น แล้วเกิดการวิปัสสนา แต่ความสงบของใจ เจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนมากับสำนักต่าง ๆ มีอยู่แล้ว สิ่งนี้มีอยู่แล้ว แล้วความว่างอย่างนั้นก็มีอยู่แล้ว

แต่ความเป็นจริงอันนี้มันยังไม่มี มันถึงว่านี่อาฬารดาบสก็ต้องติดอยู่อย่างนั้น เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมานี่ จะสอนใครก่อน จะสอนคนที่มีพระคุณก่อน ย้อนกลับไปดูอาฬารดาบส ตายไปเสียแล้ว แล้วจะสอนใครดี ถึงเป็นตกมาถึงปัญจวัคคีย์ไง ไปสอนปัญจวัคคีย์ก่อน เทศน์ครั้งแรกนี่มีผู้ฟังอยู่ ๕ องค์เท่านั้น แล้วสำเร็จมา

เราเจอสภาวะแบบนั้น เราต้องจับหลักอันนี้ แล้วเราทำของเรานะ วิถีทางเราสร้างของเราขึ้นมา แล้วเราจะก้าวเดินตามสัจจะตามความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นจากหัวใจนี่เป็นปัจจัตตัง หลอกกันไม่ได้หรอก ถ้าใจเราสงบ ใจเราเป็นไปนะ เวลาถามครูบาอาจารย์ท่านตอบไม่ได้อย่างเรานี่ มันฟ้องแล้วแหละ ว่าคนที่ตอบนี่มีภูมิไม่มีภูมิ ถ้าคนที่ตอบมีภูมินะ ตอบความสงสัยของเราด้วย ถ้าครูบาอาจารย์ท่านมีเมตตานะ ถ้าเราทำต่อไปจะเจอสภาวะแบบนั้น ๆ ๆ ถ้าบอกนะ ถ้าบอกเราก็จะติดไง ถึงต้องบอกอ้อม ๆ บอกไม่ให้รู้ไง

นี่การสั่งการสอนบอกไม่ให้รู้ ถ้ารู้มันเกิดทิฏฐิมานะ มันเกิดความผลักดัน มันเกิดความไม่ยอมรับ ถึงว่าการสอนนี้มันถึงต้องไม่ให้รู้ตัวเลยนะ นี่วิธีการสอนของพระกรรมฐาน จะสอนโดยไม่รู้ ไม่ให้รู้ ถ้ารู้นี่ถ้ามันจะเป็นสัญญาขึ้นมานี่ มันก็เป็นโทษแล้ว สิ่งที่เป็นโทษสภาวะแบบนั้น แล้วไปสิ่งนั้น มันสร้างภาพแล้วมันไม่เป็นตามความเป็นจริง มันก็จะเป็นความว่า ไม่เป็นไป

ถึงต้องทำให้เป็นความจริง เห็นไหม ความจริงกับใจดวงนั้น กิเลสใจดวงไหน ใจดวงนั้นต้องเป็นผู้ปลดเปลื้องนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกทางไว้เท่านั้น บอกวิธีการไว้เท่านั้น เพราะอะไร? เพราะอันนี้มันเกิดจากความยึดของใจ แล้วใจเรายึดเอง ดูสิ เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วย เห็นไหม ยาเขาฉีดเข้าไปนี่ เขายังฉีดเข้าได้ คนสลบขนาดไหนเขาก็ฉีดยาเข้าไปได้

แต่นี้ถ้าใจมันไม่เปิด ไม่มีสิทธิ ไม่มีสิทธิเลย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเอาธรรมที่ไหนเข้าไปรักษาใจดวงนั้น ต้องใจดวงนั้นเปิด เห็นไหม เปิดฝาหม้อ เปิดของที่คว่ำอยู่เหมือนหงายขึ้น ถ้าของนั้นคว่ำอยู่ ฝนตกฟ้าร้องขนาดไหนมันจะไม่ได้ผลของมันเลย ถ้าหงายภาชนะขึ้นมานี่ ฝนตกฟ้าร้องจะตกมาในนั้นมาก

ใจนี่ถ้าเปิด เห็นไหม แล้วเปิดเสร็จแล้วค่อยยกกลับมาวิปัสสนา วิปัสสนาเสร็จแล้วเข้าไปถึง เห็นความเป็นจริงของมัน มันชำระขาดออกไป อันนั้นเป็นความจริง นี้คือผล วิถีทางส่วนที่เราก้าวเดิน ผลของมันเป็นอีกส่วนหนึ่ง เห็นไหม มรรค ผล มรรคผลไปตลอด ถึงที่สุดแล้ว นี้คือเป้าหมายของพวกเราที่จะพ้นจากทุกข์ เอวัง